21 ธันวาคม 2012

โลกยัีงคงปลอดภัยดี ไปอีกคราหนึ่ง เริ่มนับปฏิทินมายันรอบที่ 13

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์?

คำถามที่ไม่มีรัฐบาลไหนตอบสักที แบบชัดๆ

สถิติจากข่าวในเล่ม ประเทศไทยอยู่ในนั้นด้วย
วันสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ 2012

ไม่มีวันสำคัญไหนที่เคยเกิดขึ้น และเป็นวันที่มีความสำคัญกับทุกวัฒนธรรม ทุกศาสนา นักวิทยาศาาสตร์ทุกแขนง รัฐบาลทั้งหลาย และประชาชนทุกผู้คนในอนาคตต่อไปนี้ เราจะได้เริ่มเห็น การเพิ่มขึ้นของภัยพิบัติ จนเป็นที่น่าวิตก เช่น ภัยแล้ง อุทกภัย สึนามิแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภาวะโลกร้อน ความอดอยาก โรคร้าย การไม่นับถือศักดิ์ศรีมนุษย์ สงครามข่าวลือแห่งสงคราม การก่อการร้าย ความเสี่ยงที่เกิดระเบิดนิวเคลียร์

21 ธันวาคม 2012
ชาวมายาได้ทำนายถึงวันสิ้นโลกของมวลมนุษยชาติ..ชาวอินเดียเดงแห่งเผ่า HOPI ได้กล่าวถึงการชะล้างเพื่อให้โลกบริสุทธิ์..นอสตราดาบุส ได้พูดถึงอุกาบาตที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงที่สุด..I CHING ของจีนได้ทำนายถึงการจบสิ้นของประวัติศาสตร์..ไบเบิล ได้บันทึกถึงวันสิ้นโลก..EDGAR CAYCE กล่าวว่า อานาจักรแอสแลนติส จะกลับขึ้นมรุ่่งเรืองอีก..ไอสไตน์ ได้เตือนถึงการเอียงของแกนโลก..นาซ่า ได้ยืนยันว่าอีกไนไม่ช้าจะเกิดพายุสุริยะขนาดใหญ่..โลกได้โครงแกนครบ 26,000 รอบ..ดวงอาทิตย์ โครจรเข้าสู่แนวตรงกับจุดศูนย์กลางของเอกภพ..จะเกิดการรู้แจ้งหมู่ จะเกิดการสร้างโลกใหม่ หรือจะเป็นจุดจบของทุกชีวิตสิ่งที่ที่จะนำมาเปิดเผยต่อไปนี้ อาจเป็นสิ่งที่คุณยังไม่รู้

แต่มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณในอีกในไม่ช้า ผมหมายถึงคุณทุกคน บนดาวเคราะห์นี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไง ข้อมูลที่เป็นภาษาไทยนั้นมีเพียงน้อยนิดมาก และคนไทยที่รู้เรื่องนี้ก็มีน้อยมากเช่นกันเรากำลังถูกปกปิดความลับบางอย่างที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตทุกชีวิต เรากำลังนะเผชิญกับหายนะที่อาจเรียกได้ว่า "วันสิ้นโลก" ผู้รอดชีวิตได้ถูกคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วซึ่งจะมีเฉพาะบุคคลสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ และบุคคลสำคัญอื่นๆ ที่เป็นความหวังในการสร้างโลกใหม่ และรักษาไว้ซึ่งเผ่าพันธ์มนุษย์ มีการเตรียมการในการสะสมเสบียงเมล็ดพันธ์พืช และสิ่งจำเป็นอื่นๆ เก็บไว้ในอุโมงใต้ดินขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นโครงการลับ เพื่อใช้เป็นฐานหลบภัย และห้องปฎิบัติการเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี

แต่ก่อนที่จะพูดในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพื่อความเข้าใจที่งายขึ้น ผมขอย้อนไปกล่าวถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องและที่มาของดาวเคราะห์ที่ 12 ดาวเคราะห์ที่ 12 ดาวเคราะห์ที่ 12 หรือ Planet X หรือที่ชาวสุเมเรียนเรียกว่า NIBIRU เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคือดาวเคราะห์ดวงที่ 10ของระบบสุริยะ(ซึ่งที่เรียกว่า ดาวเคราะห์ที่ 12 เพราะชาวสุเมเรียนได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เข้าไปด้วย) ที่ได้มีการสงสัยเช่นนี้เพราะมีลักษณะแปลกๆ ของดาวเนปจูนและดาวพลูโต ซึ่งอาจเกิดจากอิทธิพลของดาวเคราะห์ที่ยังไม่ค้นพบหรือไม่ หลังจากที่มนุษย์ได้ค้นพบดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนแล้ว ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ตั้งข้สังเกตุว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกสักดวงที่อยู่ห่างออกไปและยังไม่ได้ค้นพบ จนเป็นที่มาให้เกิดการค้นพบดาว พลูโต ในปี 1930ต่อมาก็ได้มีความพยายามที่จะเก็บข้อมูลเพื่อค้นคว้าและยืนยันความมีตัวตนของดาวเคราะห์ที่ 10 อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยผมจะอ้างอิงไปถึง ชนเผ่า สุเมเรียน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์อย่างมาก แถมยังเชี่ยวชาญไม่น้อยไปกว่าความรู้สมัยใหม่ด้วยซ้ำ อย่างน้อยที่สุดการค้นพบดาวพลูโต กลับเป็นเรื่องที่ชาวสุเมเรียนค้นพบมา เป็นพันๆ แล้วมีการบันทึกลักษณะการโครจรอย่างถูกต้อง แต่ที่น่าตกใจเพราะในบันทึกกลับยังมีดาวเคราะห์มากกว่าที่เรารู้ซะอีกนั่นก็คือดาวที่พวกเค้าเรียกว่า NIBIRU หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า PLANET X ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าดาวดวงนี้เคยเป็นที่อยู่ของพระเจ้าของพวกเค้า ซึ่งอันที่จริงแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นสิ่งมีชีวตที่มีภูมิปัญญามากกว่าแพราะจากที่เห็นในจารึก พระเจ้าของชาวสุเมเรียนได้มีการใช้ยานพาหนะที่มีลักษระคล้ายคลึงกับที่เห็นในปรากฎการ UFO จากทั่โลกสิ่งที่ PLANET X มีความแตกต่างจากดาวเคราะห์ทั่วไปคือ ลักษณะการโครจรที่เป็นวงรี ใช้เวลาโครจรรอบดวงอาทิตย์นานถึง 3,600 ปีต่อหนึ่งรอบ

การโครจรครบรอบแต่ละครั้ง มันจะสร้างผลกระทบอย่างมหาศาล รวมไปถึงความเป็นไปได้สูงที่จะโครจรมาชนกับโลก แต่ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่การชนกันเพียงอย่างเดียว เมื่อ PLANET X โครจรมาใกล้โลกเพียงใด แรงดึงดูดมหาศาลของมัน จะทำให้เกิดการเอียงของแกนโลก และเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง คาดว่าจะเกิดคลื่นยักษ์ ขนาดความสูงถึงไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ พายุ ภูเขาไฟ น้ำท่วม และภัยพิบัติอื่นๆ อย่างไม่เคยเกิดขึ้น

เหตุใดไม่มีรัฐบาลชาติใดได้แจ้งเตือนเรื่องนี้กับประชาชน? ในปี 1987 นาซา ได้พบวัตถุที่มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่แล้วไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกปิดหายไป ไม่มีการพูดถึง รัฐบาลทุกชาติไม่เคยพูดเรื่อง Planet x แต่ก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าป็นการสร้างเรื่อง ทั้งที่มีนักการเมืองและนักวิยาศาสตร์ บางส่วนได้ออกมาเปิดเผย ทำไมกองทัพสหรัฐจึงปิดข่าวเรื่องที่นักบินได้เผชิญหน้ากับ UFO ผมเชื่อว่าพวกเค้ารู้ดีกว่าเรา แต่จงใจที่จะปิดบัง สาเหตุก็คงพอจะทำความเข้าใจว่า รัฐบาลไม่สามารถที่จะยับยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้นได้ และก็ไม่ต้องการสร้างความวิตก จนเกิดสถานการณ์แล้วร้าย เพื่อให้ง่ายทางการปกครองในเวลาที่เหลือ

ลองคิดดูว่า จู่ๆ รัฐบาลออกมาประกาศว่า เรากำลังเผชิญกับวันสิ้นโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทุกคนจะตายกันหมด ผู้ที่รอดชีวิตจะมีเฉพาะบุคคลสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ยุ่งล่ะครับ ประชาชนคงอยู่กันอย่างไม่สงบ ยังไงก็ตาย เมื่อรู้สึกแบบนั้น กฎระเบียบก็คงไม่จำเป็นต้องทำ เกิดจราจล อาชญากรรม เผลอๆ แผนหลบภัยของรัฐบาล ก็อาจจะล้มเหลว

การสังเกตุปรากฏการณ์ผิดปกติก่อนเกิดภัยพิบัติ จากคำทำนายต่างๆ ได้กล่าวถึง ห้วงเวลาแห่งการเกิดภัยพิบัติ โดยสังเกตุจากการเกิดปรากฏการณ์ พระจันทร์สีแดง , ท้องฟ้าเป็นสีแดง , พระอาทิตย์สองดวง และความแปรปวนของภาวะอากาศโลก ซึ่งพอจะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ดังนี้
เมื่อดาวเคราะห์ดวงที่ 12 โคจรเข้ามาใกล้โลก ในปี 2008-2012

1. แรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ทำให้ แกนโลกค่อยๆ เอียงมากขึ้น จนกระทั่งเอียง 90 องศา ทำให้แกนโลกขนานกับระนาบการโคจรของโลกกับดวงอาทิตย์

2. เกิดปรากฏการณ์ โลกมืด 3 วัน 3 คืน เพราะเงาของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บดบังแสงอาทิตย์

3. เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ และสนามแม่เหล็กโลก อย่างรุนแรง ทำให้เกิดภัยธรรมชาติไปทั่วโลก

4. เกิดปรากฏการณ์ "พระจันทร์สีแดง" เนื่องจาก ดวงจันทร์สะท้อนสีแดงจากพื้นผิวดาวเคราะห์ดวงที่ 12

5. เกิดปรากฏการณ์ "ท้องฟ้าสีแดง" เนื่องจาก บรรยากาศโลกสะท้อนสีแดงจากพื้นผิวดาวเคราะห์ดวงที่ 12

6. เกิดปรากฏการณ์ "พระอาทิตย์สองดวง" เนื่องจากบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ มายังโลก

จาก http://thaipx2012.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น