21 ธันวาคม 2012
หน้าเว็บ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ขอยืนยันว่า ปี 2012 ไม่ใช่วันสิ้นโลก
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
Planet X
- ปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาว
- ปี 2011 จะสามารถมองเห้นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดง
- ปี 2012 จะเริ่มมีปฏิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื่นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก
วันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน
วัน 14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไปโลกจะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะถลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
โรงแรมอวกาศจ่อเปิดตัวปี 2012
ไขปริศนา 2012 วันสิ้นโลก...จากปฏิทินมายา
หลายๆท่านอาจจะเคย ได้ยินมาว่า ในปี ค.ศ. 2012 มนุษยชาติอาจจะสูญสลายไปจากโลก โลกจะเข้าสู่กลียุค ในที่สุดก็จะถูกทำลายล้างจากเพลิง อุทกภัยครั้งใหญ่ และภัยพิบัติซึ่งจะมาเยือนในรูปแบบที่น่ากลัวเกินกว่าจะคาดเดาได้ แล้วทำไมต้องเป็น ค.ศ.2012? ตรงนี้คงต้องอธิบายแนวคิดพื้นฐานของปฏิทินมายาโบราณคร่าวๆให้เข้าใจก่อนครับ
ปฏิทินของชาวมายา ไม่ได้ทำจากกระดาษ และแขวนบนผนังเพื่อหาดูวันหยุดนักขัตฤกษ์แบบเราๆท่านๆหรอกครับ แต่ปฏิทินของชาวมายาบันทึกไว้บนแผ่นหินครับ ดังนั้น ใครที่กำลังคิดว่าสาเหตุที่ปฏิทินของชาวมายาหมดลงในปี ค.ศ. 2012 เป็นเพราะกระดาษหมด เลยไม่อยากเขียนต่อ ก็เปลี่ยนความคิดได้เลยครับ
ปฏิทิน ของชาวมายาที่เราจะพูดถึงกันในครั้งนี้ เรียกว่าปฏิทินแบบนับยาว (Long Count Calendar) ซึ่ง 1 ปีของปฏิทินชนิดนี้จะมี 360 วัน แบ่งออกเป็น 18 เดือน และเดือนละ 20 วัน ทุกๆ 20 ปี จะมีคำเฉพาะที่เรียกว่า k’atun และทุกๆ 20 k’atun (400 ปี) ก็จะเรียกว่า bak’tun ตอนนี้หลักๆที่ควรทำความรู้จักคือคำว่า bak’tun ครับ เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับคำทำนายปี ค.ศ.2012 ด้วย
ด้วยความที่ชาวมายา โบราณมีความเชื่อว่าวันและเวลาของพวกเขาเป็นวงรอบที่จะครบวงรอบเล็กทุกๆ 52 ปี และพวกเขาก็จะปรับปรุงบ้านเรือน และต่อเติมวิหาร รวมทั้งพีระมิดทุกๆการครบรอบ 52 ปีเช่นกัน สำหรับปฏิทินแบบนับยาวนี้ ชาวมายาโบราณมีความเชื่อว่า 1 วงรอบใหญ่ (Great Cycle) ประกอบไปด้วย 13 bak’ tun นั่นก็คือจะกินเวลาประมาณ 5,200 ปีนั่นเอง (นั่นคือ 13 เท่าของ 400 ปี เท่ากับ 5,200 ปี)
เมื่อ การถอดความภาษามายาโบราณมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้นักวิชาการสามารถเทียบวันที่ในปฏิทินมายาโบราณเข้ากับปฏิทินของพวกเรา ได้ นักวิชาการทราบว่า bak’tun ที่ 13 หรือวงรอบใหญ่ที่ผ่านมาครั้งล่าสุดนั้น เกิดขึ้นในวันที่ 8 กันยายน 3114 ปีก่อนคริสตกาล และจะดำเนินไปสู่ bak’tun ที่ 13 หรือวงรอบใหญ่อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 23 ธันวาคม ปี ค.ศ.2012 ที่จะถึงนี้ ทำให้ หลายๆท่านอาจจะเชื่อว่าปฏิทินมายา "หมดลง" ในปี ค.ศ.2012 นั่นหมายถึงชาวมายาโบราณทำนายว่าโลกจะถึงจุดจบในปี ค.ศ.2012 นี้ด้วย
สิ่ง ที่จะให้คำตอบเกี่ยวกับวันสิ้นโลกกับพวกเราได้ก็คือหลักฐานทางโบราณคดี ที่ขุดพบจากดินแดนของชนเผามายานั่นเองครับ หลักฐานชิ้นแรกที่จะนำมาเสนอคือตำนานจากคัมภีร์โพโพล วูห์ (Popol Vuh) ของชาวมายาโบราณที่เล่าถึงตำนานการสร้างโลก การสร้างมนุษย์และการ "ทำลายล้าง" มนุษย์ครับ
ตำนานนี้เริ่มต้นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างโลก เอาไว้ว่า ณ จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ที่ซึ่งยังไม่มีสัตว์และต้นไม้ใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแค่ผืนฟ้า ท้องทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา และเทพเจ้านามหทัยสวรรค์ (Heart of Sky) เท่านั้น ปัญหาคือ พระองค์ต้องการสร้างผู้ที่สามารถเอ่ยนามของพระองค์และยกย่องเกียรติพระองค์ ได้ นั่นทำให้พระองค์เริ่มกระบวนการ "สร้างโลก" และ "สร้างมนุษย์" ขึ้นมา
ศิลาที่เมืองควิริกัว จารึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3114 ปีก่อนคริสตกาลเอาไว้
แต่ ถ้าชาวมายาโบราณมีความเชื่อว่า bak’tun ที่ 13 ที่กำลังจะมาถึงในปี 2012 นี้คือการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆแล้วล่ะก็ วงรอบใหญ่รอบที่แล้วเมื่อ 3114 ปีก่อนคริสตกาล ก็ควรจะต้องเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นเช่นกัน แต่ศิลา ซี จากเมืองควิริกัว (Quirigua Stela C) ที่จารึกเหตุการณ์ในครั้งนั้น กลับชี้ให้เห็นมุมมองที่ต่างออกไป เพราะว่าจารึกชิ้นนี้บอกเล่าเรื่องราวของการสร้าง ไม่ใช่การทำลายล้าง โดยกล่าวถึงการวางหินเพื่อสร้างเป็นพื้นเตา สำหรับการก่อไฟทำอาหารเท่านั้นเองครับ อ้าว!! แล้วคำทำนายที่ว่า มนุษยชาติจะล่มสลายในปี ค.ศ.2012 นี้เขาอ้างอิงมาจากไหนล่ะมันมีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่ง และแห่งเดียวเสียด้วยครับ ที่จารึกเกี่ยวกับ "คำทำนายในปี ค.ศ.2012" เอาไว้ มันคืออนุสาวรีย์หมายเลข 6 แห่งเมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero Monument 6) ครับ จารึกหินแผ่นนี้มีลักษณะเหมือนรูปตัวที (T) ซึ่งปีกด้านซ้ายหายไปจึงเหลือเพียงตัวแอล (L) กลับหัว สำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำทำนายปี ค.ศ.2012 นั้นได้รับการจารึกเอาไว้ที่ปีกด้านขวาของศิลาแผ่นนี้ครับ
แบบจำลองอักขระบนอนุสาวรีย์หมายเลข 6 ที่เชื่อกันว่าหมายถึงวันสิ้นโลก
ข้อความที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดคือข้อความที่ถอดความได้ว่า "...เป็นเวลานาน 2 วัน 9 เดือน 3 ปี 8 k’atun 3 bak’tun ก่อนที่จะครบ 13 bak’tun (ซึ่งเทียบได้กับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012) มันจะเกิดความมืด?? และจะเป็นการลงมาประทับของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างที่...??"
ถึง แม้ว่าอนุสาวรีย์ ชิ้นนี้จะจารึกถึงวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012 เอาไว้อย่างชัดเจน แต่มันก็แตกหัก จารึกไม่สมบูรณ์ ถอดความได้ยังไม่ชัดเจน เช่นคำว่าความมืดหรือสีดำ หรือที่ภาษามายาโบราณอ่านว่า "เอค" (Ek) นั้นก็ขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นคือ ความมืด หรือย่างอื่นกันแน่ ที่สำคัญ ตัวอักษรในศิลาแผ่นนี้ที่เป็นตัวบอกว่าเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างทรงลงมา ประทับที่ไหน หรือลงมาทำอะไร ก็เลือนไปเสียด้วยครับสรุปอนุสาวรีย์ แห่ง นี้คือหลักฐานชิ้นเดียวที่บ่งบอกว่า "จะเกิดอะไรขึ้นในปี 2012" ซึ่งมันก็ยังไม่สามารถถอดความได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าข้อความที่จารึกไว้จะเป็นความจริง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีเพียงแค่ความมืด และการลงมาประทับของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างเท่านั้นเองครับ ไม่ใช่วันอวสานของโลกแต่อย่างใด เพราะเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างองค์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างเพียง อย่างเดียว แต่พระองค์ยังปรากฏกายในโอกาสอื่นๆด้วย เช่นเมื่อปฏิทินของชาวมายาดำเนินไปครบ 1 ปี หรือ ka’tun (20 ปี) เป็นต้น
ที่ สำคัญ ปฏิทินมายาก็ไม่ได้หมดลงที่ bak’ tun ที่ 13 ด้วยครับ เนื่องจากนักวิชาการได้พบหลักฐานเป็นศิลาจากเมืองโคบา (Coba) ที่จารึกชื่อของปีที่วงรอบใหญ่ว่า bak’tun ขึ้นไปอีก 19 ลำดับ โดยที่วงรอบใหญ่ที่สุดจริงๆของปฏิทินมายาโบราณ จะสามารถเทียบเป็นเวลาถึง 13 เท่าของ 20 ยกกำลัง 21 ปี นั่นคือหลายล้านล้านปีก่อนที่จักรวาลจะถือกำเนิดเสียอีกครับ ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่ปฏิทินจะหมดลงแค่ปี ค.ศ.2012
ถึง แม้ว่าอนุสาวรีย์หมายเลข 6 แห่งเมืองทอร์ทูกัวโรจะไม่ได้บันทึกอย่างชัดเจนถึงอวสานของมนุษยชาติ แต่ถ้ามนุษย์ที่เทพหทัยสวรรค์สร้างขึ้นจากแป้งข้าวโพดอย่างเราๆท่านๆยัง ทำตัวไม่ ต่างจากมนุษย์ไม้ ที่เอาแต่ทำลายธรรมชาติกันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเหมือนทุกวันนี้ ความมืดและเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างจากอนุสาวรีย์ หมายเลข 6 อาจจะหมายถึงการลงมือสร้างมนุษย์ครั้งใหม่ของเทพหทัยสวรรค์ก็เป็นได้ครับ
แต่ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องวันอวสานโลกในปี 2012 นั้น เป็นประเด็นที่มีคนสนอกสนใจกล่าวขวัญกันทั่วโลก จนถูกหยิบยกมาเป็นไอเดียในการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "2012...วันสิ้นโลก" ซึ่งเหตุการณ์จริงของโลกเราในปี 2012 นั้น จะรุนแรงระทึกขวัญเหมือนในภาพยนตร์หรือไม่...จะเป็นวันอวสานโลกหรือเปล่า เราคงต้องนับถอยหลังรอลุ้นกันต่อไปอีกเพียงแค่ 3 ปี!
ทีมงาน ต่วย'ตูน
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/life/45236
2012 ไม่เชื่ออย่าประมาท
จนกว่าจะถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (2012) การถกเถียงเรื่องวันที่โลกใบนี้จะแตกดับคงนับได้อีกไม่ถ้วน แต่จะดีกว่าไหม ถ้าได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและรอบด้าน จากผู้เชี่ยวชาญและศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ฟังความข้างเดียว โดยเฉพาะกับเรื่องระดับ "โลก" อย่างนี้
ต้นทางจากมายา ต้นทางแห่งความคิดชุดนี้มาจาก ปฏิทินชนเผ่ามายา ชนเผ่าโบราณ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกาลเวลาและดาราศาสตร์ ซึ่งนับเอาวันดังกล่าวเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือปฏิทินฉบับที่ 3 ของชาวมายา นอกเหนือไปจาก 2 ฉบับแรกที่เป็นฉบับปกติ และฉบับสอง - ศาสนา
"จริงๆ ชาวมายาไม่ได้กำหนดวันชัดเจน ซึ่งปฏิทินแบบ Long Count เป็นการคำนวณระยะยาว ซึ่งแบ่งได้ 5 ยุค และ ตอนนี้เป็นยุคที่ 5 ซึ่งยุคที่ 5 นี้เริ่มต้นเมื่อ 5,000 กว่าปีมาแล้ว แล้ววันสิ้นสุดของยุคนี้ แปลความออกมาได้ว่าเป็นวันที่ 20 ธันวา 2012 แต่ก็ไม่ได้บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น" ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ คอลัมนิสต์ นักคิด นักเขียนอิสระ และผู้เขียนหนังสือ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๑๒ วันพลิกชะตาโลก ให้ความรู้ปูพื้นฐาน
ด้วยความที่เรื่องราวของชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล ค่อนข้างลึกลับน่าค้นหา สมัยนั้นอาณาจักรมายาได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง แต่จู่ๆ อารยธรรมก็ล่มสลายอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ยิ่งเป็นปริศนาให้คนรุ่นหลังสนใจในชนเผ่านี้มากขึ้นไปอีก
"ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ชาวมายาทิ้งไว้ให้ จะถูกนำไปตีความเสมอๆ โดยเฉพาะเรื่องวันสิ้นสุดโลก" ชัชรินทร์ คิดเช่นนั้น
ชาวตะวันตก เช่น นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์สมัครเล่น คือ คนกลุ่มแรกๆ ที่นำ "สิ่งใดๆ" นั้นมาตีความ จนข้อมูลต่างๆ เริ่มแพร่วงกว้างมากขึ้น และลามไปถึงวงการนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์
เป็นที่มาของทฤษฎีและความเป็นไปได้ต่างๆ ที่กลายเป็น "ประเด็น" ในโลกปัจจุบัน ตามมาด้วยการตีความสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ไว้ 2 กระแสแบบตรงข้ามกันสุดขั้ว
แบบแรก - มองโลกในแง่บวก เป็นทฤษฎีของกลุ่มนิวเอจ (New Age Theories) ที่เสนอว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีขึ้นทั้งกายภาพและทางจิตวิญญาณ
"ทฤษฎีหนึ่งซึ่งเสนอโดย เทเรนซ์ แมคเคนนา กล่าวถึง 'สภาพความใหม่ (novelty)' ซึ่งนิยามว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมโยงระหว่างกันและกันของสิ่งต่างๆ ในเอกภพ และสภาพความใหม่ดังกล่าวจะพุ่งสูงสุดเป็นอนันต์ในปี 2012" ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดมุมมองในโลกวิทยาศาสตร์
และ แบบสอง - มองโลกในแง่ลบ เป็นทฤษฎีวันสิ้นโลก (Doomsday Theories) เสนอว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่หลวง ที่จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์และโลกอย่างกว้างขวาง
"พูดถึงการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกในปีดังกล่าว ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ครั้งมโหฬาร หมายถึงการระเบิดในระดับพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เชื่อกันว่า ปี 2012 จะเกิดจุดบนดวงอาทิตย์มากที่สุด และสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์จะแปรปรวนมากที่สุด เรียกว่า โซลาร์แม็กซิมัม (solar maximum)"
พ้องกับข้อมูลจาก NOAA (National Oceanic and Atmospheric Administration : หน่วยงานตรวจสอบและรายการอากาศ ข้อมูลระดับน้ำ และแจ้งเตือนภัยจากภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา) ที่ระบุไว้ว่า โซลาร์แมกซิมัมจะเกิดในเดือนพฤษภาคม 2013
จุดบนดวงอาทิตย์ที่ ดร.บัญชา อ้างถึง คือ "จุดดับ" ซึ่งมีการตีความกันต่อว่า ปี 2012 จะเกิดการระเบิดของจุดดับ หรือ การปะทุของดวงอาทิตย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พายุสุริยะ
"บางทฤษฎีก็เอาเรื่องดาราศาสตร์มาโยง ว่า ณ ช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกับดาวพฤหัส และดาวเสาร์ ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อจุดดับของดวงอาทิตย์อย่างมหาศาล ชนิดทำลายล้างโลกได้" ต่อจากประโยคเดียวกัน แต่ชัชรินทร์เสริมอีกว่า "มันก็ไม่ถึงกับมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ก็เหมือนกับที่มีคนบอกว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ นั่นแหละ ยังโต้กันไปโต้กันมา"
ยังจะมี "ดาวเคราะห์นิบิรุ" ที่ลือกันตั้งแต่ปี 1995 ว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้จะพุ่งเข้าชนโลกในปีเดียวกันนี้อีก ที่มาของข่าวชิ้นนี้ ว่ากันว่า คือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก
ข้อเท็จ-จริง ในฟากวิทยาศาสตร์ ดร.บัญชา เผยว่า หนังสือ The Maya ซึ่งเป็นเล่มแรกที่จุดพลุเรื่อง 2012 ซึ่งเขียนโดย Michael D.Co ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก (ค.ศ.1966) ระบุว่า เอกภพนี้จะถูกทำลายล้างในวันที่ 24 ธันวาคม 2011
หากในการพิมพ์ครั้งที่ 2 วันดังกล่าวถูกปรับเป็น 11 มกราคม 2012 และ การตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ก็เลื่อนไปเป็น 23 ธันวาคม ปีเดียวกัน
"ส่วนเรื่องการเรียงตัวในแนวเดียวของดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ในแนวเดียวกับหลุมดำมวลมหาศาล (supermassive black hole) ซึ่งเชื่อว่าความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และหลุมดำ จะผนึกกำลังกันทำให้เกิดความปั่นป่วนในโลก..
แต่ควรรู้ด้วยว่า หลุมดำดังกล่าวอยู่ห่างจากโลกถึง 30,000 ปีแสง จนมิอาจส่งผลใดๆ ที่มีนัยสำคัญต่อโลกและระบบสุริยะได้" ข้อเท็จจริงจาก ดร.บัญชา
ส่วนนักคิด นักเขียนอย่างชัชรินทร์ ที่ตอนนี้หันมาศึกษาด้านศาสนาอย่างจริงจังนั้น วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ "โต้กันไปโต้กันมา" ระหว่างฝั่งเชื่อและไม่เชื่อว่า เกิดจากขอบเขตความรู้ด้านจักรวาลของนักวิทยาศาสตร์ยังมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น การเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่น้อย ไปคัดง้างกับความเชื่อที่เต็มไปด้วยความลึกลับ น่าค้นหา ขณะเดียวกันก็ชวนติดตามอย่างสุดๆ นั้น ผลก็คือ
"ด้วยความที่ยังตอบในหลายๆ คำถามไม่ได้ มันจึงไม่สามารถหักล้างความเชื่อทางโบราณได้ มิหนำซ้ำ กลับยิ่งโจษจันกันมากขึ้น" ชัชรินทร์ บอกอีกว่า คงต้องขึ้นกับสติ และวิจารณญาณของผู้อ่าน ผู้ฟังแล้ว
วิทยาศาสตร์ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งที่ทำให้ "อวสานโลก" กลายมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งคือ ภาพยนตร์เรื่อง 2012 ซึ่งสร้างจากนิยายของ Rolannd Emmerich ที่ปล่อยทีเซอร์ ออกไปแล้วทั่วโลก
"ตอนนี้มันไม่มีที่ชัดเจนว่ามันจะเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยๆ ในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ตอนนี้ยังไม่มีภาวะคุกคามอะไรที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น" ดร.อนนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรม การเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้แจงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของกระแสดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า การที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ถึงขนาดทำให้โลกสูญสิ้นได้นั้นไม่มีทางเกิดในระยะเวลา 1-2 ปี แน่นอน เพราะถือว่าเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่หากกล่าวถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็มีบ้างที่ปะทุขึ้นมา เนื่องมาจากเป็นภัยพิบัติที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน หรือในกรณีที่คาดการณ์ว่ามีอุกกาบาตใหญ่เข้ามาชนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย
"โดยปกติแล้วก็จะมีการติดตามวัตถุในอวกาศ และสัญญาณที่ระบุว่ามีวัตถุขนาดใหญ่พอที่จะคุกคามโลกได้นี่ยังไม่มี แต่เราจะบอกว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์เลยก็ไม่ได้ แต่ว่ายังไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ เพราะว่ายังมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมากกว่า อย่างเรื่องของภัยพิบัติขนาดเล็ก ขนาดเล็กที่ว่าก็ตายเป็นแสนๆ ได้ เช่น สึนามิ แต่ก็ยังไม่ถึงสิ้นโลก และเหตุการณ์แบบนี้มันพร้อมที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้"
กับบางประเด็นที่ลือกันหนาหู โดยเฉพาะเรื่องการเรียงตัวของดวงดาว ดร.อนนท์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ นอกจากระดับน้ำทะเลขึ้น-ลง เล็กน้อย เช่นเดียวกับการสลับขั้วของแม่เหล็กโลกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และแต่ละครั้งกว่าจะเกิดได้ต้องใช้เวลานานมาก ไม่ใช่แค่ 2-3 ปี
"แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ยังมีอีกหลายเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่ายังไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง หรือรู้ผิดดังนั้นมันก็คือยังมีความเสี่ยง เราคงต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง"
มุมมองของ ดร.อนนท์ กระแสวันสิ้นโลกมีข้อดีอยู่เหมือนกัน
"คงเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของคนในสังคมได้ แทนที่จะสนใจแต่เรื่องส่วนตัว กลับทำให้สังคมตื่นตัวและหันมาสนใจเรื่องของภัยพิบัติมากขึ้น"
แต่เชื่อไม่เชื่อ ก็อีกเรื่องหนึ่ง...
เหลือเวลาแค่ 5 นาที ตัดเรื่องวันออกไป ถ้าดูแนวโน้มดาวเคราะห์สีฟ้าในปัจจุบัน ชัชรินทร์ยอมรับว่า โลกกำลังเคลื่อนไปสู่หายนะจริงๆ
"ไม่ใช่เพราะสิ่งที่มาจากนอกโลก แต่เพราะผู้คนในโลกที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ชั้นบรรยากาศที่ถูกโลกอุตสาหกรรมทำลายมาติดต่อกันเกินกว่า 200 ปี วิถีชีวิตแบบทุนนิยมที่เป็นส่วนหนึ่งของภาวะเรือนกระจก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ความร้อนที่สูงขึ้น โรคระบาดกลายพันธุ์ ฯลฯ"
นักวิทยาศาสตร์อย่าง สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง , อาร์เธอ ซี คลาก ที่รับรู้เรื่องนี้มาตลอด ประกาศนับถอยหลังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
"มีการเลื่อนนาฬิกาสิ้นโลกให้เหลืออีกแค่ 5 นาที" อดีตบรรณาธิการนิตยสารอาทิตย์ อธิบายต่อว่า เดิมที นาฬิกาเรือนนี้ถูกตั้งไว้ให้เหลือเวลา 7-8 นาทีในยุคสงครามเย็น แต่พอสิ้นสุด เหตุการณ์สงบ ก็ถูกเลื่อนเวลาให้เหลือมากกว่านั้น แต่สุดท้ายด้วยปัจจัยต่างๆ นานาข้างต้น นักวิทยาศาสตร์สรุปกันแล้วว่า เข็มนาทีต้องมาหยุดที่เลข 11
คำถามต่อมาคือ ระหว่างนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไร
"ดีที่สุดคือ เตรียมใจและเตรียมความคิด อย่างอื่นไม่ต้องเตรียมเลย เพราะมันเกินกว่าเราจะเตรียมได้" ชัชรินทร์ตอบอย่างอารมณ์ดี
นอกจากมองและคิดทุกสิ่งว่าอนิจจัง เวลาที่เหลือต่อจากนี้ ถ้าเป็นไปได้ หาทางปรับเปลี่ยนความคิด ปฏิสัมพันธ์กับโลกและเพื่อนมนุษย์ เพื่อเวลาที่เหลืออันสั้นจะยืดยาวออกไป หรือไม่เกิดเลย
"ไม่ใช่แค่ปิดแอร์ก่อนเวลา หิ้วถุงผ้า หรือกินอาหารออร์แกนิกส์" ชัชรินทร์พูดไว้เป็นแนวทาง ส่วนเรื่องวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เขสบอกว่า..
"ขนาดในคัมภีร์ไบเบิล อัครสาวกถามพระเยซูว่า วันสิ้นสุดโลกจะเกิดเมื่อไหร่ พระเยซูตอบว่า ผู้ที่รู้มีแต่พระเจ้าองค์เดียว"
............................................
นับถอยหลังกันบ้างไหม
ธนชัย อุชชิน หรือ ป๊อด โมเดิร์นด๊อก
"..ก็ไม่ได้ใส่ใจในประเด็นนี้สักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเรามีเรื่องที่ต้องดูแลมากกว่าตรงเยอะ คือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก เท่าที่ทราบเกี่ยวกับกระแสวันสิ้นโลกตอนนี้ คือทราบว่ามีหนังเรื่อง 2012 ออกมา มีทีเซอร์ออกมา ผมก็ดูบ้างผ่านๆ ส่วนตัวแล้วถ้ามีโอกาสก็คงไปชมภาพยนตร์บ้างเหมือนกัน ก็ดูเพลินๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก"
ป๊อดยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นกระแสที่สังคมกำลังให้ความสนใจ แต่ไม่อยากให้เป็นตัวนำความตื่นตระหนกมาสู่สังคม เขามองว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากกระแสนี้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อสาธารณะและสิ่งแวดล้อม
" ถ้ามองในแง่ดี การที่สังคมสนใจในประเด็นนี้ มันทำให้คนทั่วไปหันมาดูตัวเองว่า ทุกวันนี้เราอยู่กันยังไง เราดูแลสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า หรือตอนนี้เรากำลังทำลายสิ่งแวดล้อมกันอยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้น่าจะทำให้คนใส่ใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น หันกลับมาตั้งคำถามว่าเราทำอะไรเพื่อสังคม หรือสิ่งแวดล้อมบ้างมั้ย และมองพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราว่าบริโภคสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน"
วีรภัทร ทิพยครรชิต เจ้าของเหรียญเงินจากการเข้าร่วมแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2552 "ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นปีไหนกันแน่ แต่ในประเด็นของอุกกาบาตชนโลกและแม่เหล็กโลก ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ อย่างเรื่องอุกกาบาต คือมันเกี่ยวข้องกับระบบสุริยะ แล้วในระบบสุริยะเราก็มีอุกกาบาตลอยอยู่เยอะแยะ มันก็มีโอกาสที่จะมาชนโลก เหมือนกับยุคไดโนเสาร์ที่มันต้องสูญพันธุ์ไปก็เพราะอุกกาบาตชนโลก"
ในประเด็นสนามแม่เหล็กโลก ก็ไม่ต่างกัน "ถ้าแกนโลกผิดปกติไป สนามแม่เหล็กก็ผิดปกติ รังสีอันตรายพวกนี้ก็จะเข้ามาสู่โลกมากขึ้น ก็อาจจะทำให้คนเราตายได้ แต่ว่าโลกคงไม่ได้ระเบิด แต่คงมีการเสียชีวิตในจำนวนที่มากๆ ก็เชื่อว่าทั้งสองประเด็นนี้มีความเป็นไปได้ ขนาดองค์การนาซ่า ยังมีการศึกษาเรื่องนี้กันอยู่เลย"
แม้จะเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่วีรภัทรไม่ได้คาดการณ์ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง กลับมองว่า "โลกร้อน" ที่กำลังเกิดอยู่ ณ ขณะนี้ ใกล้ตัวมากกว่า และควรซีเรียสกับมันมากกว่า
"ผมก็เหมือนคนทั่วๆ ไป ยังใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิม แต่ก็มีสงสัยบ้างว่า เออ.. มันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆ ผมก็คงใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายกับครอบครัว แต่จริงๆ เรื่องโลกร้อนน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงมากกว่า มันมีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดขึ้น ยังไงมันต้องเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของผมแน่ๆ"
Tags : 2012 ไม่เชื่ออย่าประมาท • บัญชา ธนบุญสมบัติ • ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ • อนนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20091110/85543/2012-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%97.html
หนัง 2012 รอบแรกของมูลนิธิสื่อใจไทย
วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
"วันสิ้นยุค" เบื้องต้นที่ คจ.แสงสว่าง
ผป.วีรศักดิ์ พี่เกษียร และผม ไปเป็นวิทยาการพิเศษ บรรยายเรื่องนี้
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ข้อความที่ใช้แม้จะสั้นๆ แต่ก็ดูฟันธงไปแบบนี้ อาจจะมีปัญหาขัดแย้งก็ได้?
2012 ไม่ใช่เป็นปีที่สิ้นสุดของโลก : ชนเผ่ามายัน (ยุคใหม่) ยืนยันเช่นนั้น
Ann Martin แห่งมหาวิทยาลัย Cornell กล่าวว่า มันแย่มากทำให้ผู้คนต่างพากันวิตก กังวลและกลัวไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
Chile Pixtun ชาวกัวเตมาลาผู้นี้กล่าวว่า ทฤษฎีวันโลกาพินาศ นี้ มันเป็นเรื่องที่ผุดขึ้นมาจากทางตะวันตก มันไม่ใช่จากความคิดของชนเผ่ามายัน
แต่พวกนักโบราณคดี พวกนักดาราศาสตร์และพวกชนเผ่ามายัน กล่าวว่าสิ่งเดียวที่จะเข้ามากระทบกับโลก ก็คือ ฝนดาวตกของแนวปรัชญา New Age ข่าวลือเรื่องวันโลกาพินาศทางอินเตอร์เนต และรายการทีวี เช่น History Channel ซึ่งผสมผสานคำทำนายระหว่างนอสตราดามุสกับชนเผ่ามายัน แล้วถามว่า ปี 2012 เป็นนาฬิกาของจักรวาลที่ในที่สุดหมุนรอบไปถึงวันเลขศูนย์ เป็นความหวังที่ไม่มีอะไรเหลือเช่นนั้นหรือ
ชนเผ่ามายันซี่งอาศัยอยู่ในแหลมยูคาทานนั้นมีเรื่องวิตกกังวลที่ใหญ่กว่าเรื่องปี 2012 เสียอีก ถ้าไปถามคนในชุมชนเผ่ามายันว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปี 2012 พวกเขาจะไม่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถ้าบอกว่าโลกกำลังจะสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะไม่เชื่อคุณ เพราะว่าสิ่งที่พวกเขากังวลอย่างแท้จริงในปัจจุบันก็คือเรื่องฝน
อารยธรรมของพวกชนเผ่ามายันถึงจุดสูงสุดในระหว่างปี คศ. 300 – 900 พวกเขามีความรู้พิเศษทางด้านดาราศาสตร์
ปฏิทินของพวกชนเผ่ามายัน Long Count Calendar ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 3114 ก่อคศ. แบ่งคร่าวๆช่วงละ 394 ปีซึ่งเรียกว่าBaktum เลข13 เป็นเลขที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่ามายัน และBaktum ที่13 จะสิ้นสุดลงในราววันที่ 21 ธค. 2012
David Stuart ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาศิลาจารึกแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัสในเมืองออสตินกล่าวว่า พวกชนเผ่ามายันไม่เคยบอกว่าโลกกำลังจะถึงจุดสิ้นสุด พวกเขาไม่เคยพูดว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น พวกเขาเพียงแต่บันทึกปีที่จะครบรอบในอนาคตไว้บน Monument Six
การทำนายวาระสิ้นสุดของโลกเป็นแนวความคิดที่เผยแพร่มาจากตะวันตก พวกคริสเตียนมาสู่ชนเผ่ามายัน เนื่องจากตำนานเรื่องเล่าทางตะวันตกค่อยๆหมดพลังไป ส่วนบางคนบอกว่าพวกมายันรู้เคล็ดลับอื่นๆอีก แกนโลกสั่นคลอน ค่อยๆปรับแนวของดวงดาวต่างๆทุกปี ทุกๆ 25,000 ปีดวงอาทิตย์จะอยู่แนวเดียวกันกับศูนย์กลางเส้นทางช้างเผือก ในช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดคือในจุดที่ดวงอาทิตย์อยู่ต่ำสุดของเส้นขอบฟ้า นี่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธค. 2012เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในแนวเดียวกันกับเส้นทางช้างเผือก
นักเขียน John M. Jenkins กล่าวว่าถ้าเราจะให้เกียรติแก่แนวความคิดของพวกมายันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นว่า พวกมายันมองปี 2012 ในทัศนะของการสิ้นสุดวงจรทั้งหมดของปี จะเป็นเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงและการเริ่มต้นใหม่
หลายคนเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับชะตากรรม และเคราะห์ร้ายที่จะเกิดขึ้นในปี 2012 โดยที่ชนเผ่ามายันไม่เคยนึกฝันมาก่อน นักเขียนที่ชื่อ Lawrence Joseph กล่าวว่า การระเบิดของพื้นผิวดวงอาทิตย์สามารถที่จะทำให้เครือข่ายส่งพลังงานไฟฟ้าของอเมริกาเหนือใช้การไม่ได้เป็นเวลาหลายปี ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและน้ำอย่างรุนแรง อารยธรรมล่มสลาย
นักวิทยาศาตร์กล่าวว่า ขั้วโลกจะเคลื่อนไปหนึ่งองศาเมื่อเกินหนึ่งล้านปี โดยไม่มีสัญญาณว่าจะเริ่มที่ปี 2012
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552
หนังสือเก่า ปี 2000 ไม่ใช่วันสิ้นโลก
ตามทความเชื่อจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลยืนยันว่า จะมียุคพันปี ยุคที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาครองโลกในฐานะกษัตริย์ ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์กลียุคตามในหนัง 2012 ก็แสดงว่าพระเยซูใกล้จะมาเต็มทนแล้ว
หนังสือเกี่ยวกับ 2012 วันสิ้นโลก
Temple ที่เยรูซาเล็ม ที่ชาวคริสต์แปลว่า "พระวิหาร" แต่ในหนังสือแปลว่า "วัด" ตามเข้าใจของผู้แปลว่าเหมือนๆ กัน
Temple Mount ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ แปลว่า "ภูเขาวิหาร" ซึ่งก็โอเค หรือจะแปลว่า "เขาพระวิหาร" ก็ยังได้ เพราะพระวิหารที่ว่าอยู่บนเนินเขา เป็นต้น
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์?
ไม่มีวันสำคัญไหนที่เคยเกิดขึ้น และเป็นวันที่มีความสำคัญกับทุกวัฒนธรรม ทุกศาสนา นักวิทยาศาาสตร์ทุกแขนง รัฐบาลทั้งหลาย และประชาชนทุกผู้คนในอนาคตต่อไปนี้ เราจะได้เริ่มเห็น การเพิ่มขึ้นของภัยพิบัติ จนเป็นที่น่าวิตก เช่น ภัยแล้ง อุทกภัย สึนามิแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภาวะโลกร้อน ความอดอยาก โรคร้าย การไม่นับถือศักดิ์ศรีมนุษย์ สงครามข่าวลือแห่งสงคราม การก่อการร้าย ความเสี่ยงที่เกิดระเบิดนิวเคลียร์
21 ธันวาคม 2012
ชาวมายาได้ทำนายถึงวันสิ้นโลกของมวลมนุษยชาติ..ชาวอินเดียเดงแห่งเผ่า HOPI ได้กล่าวถึงการชะล้างเพื่อให้โลกบริสุทธิ์..นอสตราดาบุส ได้พูดถึงอุกาบาตที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงที่สุด..I CHING ของจีนได้ทำนายถึงการจบสิ้นของประวัติศาสตร์..ไบเบิล ได้บันทึกถึงวันสิ้นโลก..EDGAR CAYCE กล่าวว่า อานาจักรแอสแลนติส จะกลับขึ้นมรุ่่งเรืองอีก..ไอสไตน์ ได้เตือนถึงการเอียงของแกนโลก..นาซ่า ได้ยืนยันว่าอีกไนไม่ช้าจะเกิดพายุสุริยะขนาดใหญ่..โลกได้โครงแกนครบ 26,000 รอบ..ดวงอาทิตย์ โครจรเข้าสู่แนวตรงกับจุดศูนย์กลางของเอกภพ..จะเกิดการรู้แจ้งหมู่ จะเกิดการสร้างโลกใหม่ หรือจะเป็นจุดจบของทุกชีวิตสิ่งที่ที่จะนำมาเปิดเผยต่อไปนี้ อาจเป็นสิ่งที่คุณยังไม่รู้
แต่มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณในอีกในไม่ช้า ผมหมายถึงคุณทุกคน บนดาวเคราะห์นี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นยังไง ข้อมูลที่เป็นภาษาไทยนั้นมีเพียงน้อยนิดมาก และคนไทยที่รู้เรื่องนี้ก็มีน้อยมากเช่นกันเรากำลังถูกปกปิดความลับบางอย่างที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตทุกชีวิต เรากำลังนะเผชิญกับหายนะที่อาจเรียกได้ว่า "วันสิ้นโลก" ผู้รอดชีวิตได้ถูกคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วซึ่งจะมีเฉพาะบุคคลสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ และบุคคลสำคัญอื่นๆ ที่เป็นความหวังในการสร้างโลกใหม่ และรักษาไว้ซึ่งเผ่าพันธ์มนุษย์ มีการเตรียมการในการสะสมเสบียงเมล็ดพันธ์พืช และสิ่งจำเป็นอื่นๆ เก็บไว้ในอุโมงใต้ดินขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นโครงการลับ เพื่อใช้เป็นฐานหลบภัย และห้องปฎิบัติการเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี
แต่ก่อนที่จะพูดในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพื่อความเข้าใจที่งายขึ้น ผมขอย้อนไปกล่าวถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องและที่มาของดาวเคราะห์ที่ 12 ดาวเคราะห์ที่ 12 ดาวเคราะห์ที่ 12 หรือ Planet X หรือที่ชาวสุเมเรียนเรียกว่า NIBIRU เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าคือดาวเคราะห์ดวงที่ 10ของระบบสุริยะ(ซึ่งที่เรียกว่า ดาวเคราะห์ที่ 12 เพราะชาวสุเมเรียนได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เข้าไปด้วย) ที่ได้มีการสงสัยเช่นนี้เพราะมีลักษณะแปลกๆ ของดาวเนปจูนและดาวพลูโต ซึ่งอาจเกิดจากอิทธิพลของดาวเคราะห์ที่ยังไม่ค้นพบหรือไม่ หลังจากที่มนุษย์ได้ค้นพบดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนแล้ว ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ตั้งข้สังเกตุว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกสักดวงที่อยู่ห่างออกไปและยังไม่ได้ค้นพบ จนเป็นที่มาให้เกิดการค้นพบดาว พลูโต ในปี 1930ต่อมาก็ได้มีความพยายามที่จะเก็บข้อมูลเพื่อค้นคว้าและยืนยันความมีตัวตนของดาวเคราะห์ที่ 10 อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยผมจะอ้างอิงไปถึง ชนเผ่า สุเมเรียน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์อย่างมาก แถมยังเชี่ยวชาญไม่น้อยไปกว่าความรู้สมัยใหม่ด้วยซ้ำ อย่างน้อยที่สุดการค้นพบดาวพลูโต กลับเป็นเรื่องที่ชาวสุเมเรียนค้นพบมา เป็นพันๆ แล้วมีการบันทึกลักษณะการโครจรอย่างถูกต้อง แต่ที่น่าตกใจเพราะในบันทึกกลับยังมีดาวเคราะห์มากกว่าที่เรารู้ซะอีกนั่นก็คือดาวที่พวกเค้าเรียกว่า NIBIRU หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า PLANET X ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าดาวดวงนี้เคยเป็นที่อยู่ของพระเจ้าของพวกเค้า ซึ่งอันที่จริงแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นสิ่งมีชีวตที่มีภูมิปัญญามากกว่าแพราะจากที่เห็นในจารึก พระเจ้าของชาวสุเมเรียนได้มีการใช้ยานพาหนะที่มีลักษระคล้ายคลึงกับที่เห็นในปรากฎการ UFO จากทั่โลกสิ่งที่ PLANET X มีความแตกต่างจากดาวเคราะห์ทั่วไปคือ ลักษณะการโครจรที่เป็นวงรี ใช้เวลาโครจรรอบดวงอาทิตย์นานถึง 3,600 ปีต่อหนึ่งรอบ
การโครจรครบรอบแต่ละครั้ง มันจะสร้างผลกระทบอย่างมหาศาล รวมไปถึงความเป็นไปได้สูงที่จะโครจรมาชนกับโลก แต่ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่การชนกันเพียงอย่างเดียว เมื่อ PLANET X โครจรมาใกล้โลกเพียงใด แรงดึงดูดมหาศาลของมัน จะทำให้เกิดการเอียงของแกนโลก และเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง คาดว่าจะเกิดคลื่นยักษ์ ขนาดความสูงถึงไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ พายุ ภูเขาไฟ น้ำท่วม และภัยพิบัติอื่นๆ อย่างไม่เคยเกิดขึ้น
เหตุใดไม่มีรัฐบาลชาติใดได้แจ้งเตือนเรื่องนี้กับประชาชน? ในปี 1987 นาซา ได้พบวัตถุที่มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่แล้วไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกปิดหายไป ไม่มีการพูดถึง รัฐบาลทุกชาติไม่เคยพูดเรื่อง Planet x แต่ก็ไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าป็นการสร้างเรื่อง ทั้งที่มีนักการเมืองและนักวิยาศาสตร์ บางส่วนได้ออกมาเปิดเผย ทำไมกองทัพสหรัฐจึงปิดข่าวเรื่องที่นักบินได้เผชิญหน้ากับ UFO ผมเชื่อว่าพวกเค้ารู้ดีกว่าเรา แต่จงใจที่จะปิดบัง สาเหตุก็คงพอจะทำความเข้าใจว่า รัฐบาลไม่สามารถที่จะยับยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้นได้ และก็ไม่ต้องการสร้างความวิตก จนเกิดสถานการณ์แล้วร้าย เพื่อให้ง่ายทางการปกครองในเวลาที่เหลือ
ลองคิดดูว่า จู่ๆ รัฐบาลออกมาประกาศว่า เรากำลังเผชิญกับวันสิ้นโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ทุกคนจะตายกันหมด ผู้ที่รอดชีวิตจะมีเฉพาะบุคคลสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ยุ่งล่ะครับ ประชาชนคงอยู่กันอย่างไม่สงบ ยังไงก็ตาย เมื่อรู้สึกแบบนั้น กฎระเบียบก็คงไม่จำเป็นต้องทำ เกิดจราจล อาชญากรรม เผลอๆ แผนหลบภัยของรัฐบาล ก็อาจจะล้มเหลว
การสังเกตุปรากฏการณ์ผิดปกติก่อนเกิดภัยพิบัติ จากคำทำนายต่างๆ ได้กล่าวถึง ห้วงเวลาแห่งการเกิดภัยพิบัติ โดยสังเกตุจากการเกิดปรากฏการณ์ พระจันทร์สีแดง , ท้องฟ้าเป็นสีแดง , พระอาทิตย์สองดวง และความแปรปวนของภาวะอากาศโลก ซึ่งพอจะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ดังนี้
เมื่อดาวเคราะห์ดวงที่ 12 โคจรเข้ามาใกล้โลก ในปี 2008-2012
1. แรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ทำให้ แกนโลกค่อยๆ เอียงมากขึ้น จนกระทั่งเอียง 90 องศา ทำให้แกนโลกขนานกับระนาบการโคจรของโลกกับดวงอาทิตย์
2. เกิดปรากฏการณ์ โลกมืด 3 วัน 3 คืน เพราะเงาของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บดบังแสงอาทิตย์
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ และสนามแม่เหล็กโลก อย่างรุนแรง ทำให้เกิดภัยธรรมชาติไปทั่วโลก
4. เกิดปรากฏการณ์ "พระจันทร์สีแดง" เนื่องจาก ดวงจันทร์สะท้อนสีแดงจากพื้นผิวดาวเคราะห์ดวงที่ 12
5. เกิดปรากฏการณ์ "ท้องฟ้าสีแดง" เนื่องจาก บรรยากาศโลกสะท้อนสีแดงจากพื้นผิวดาวเคราะห์ดวงที่ 12
6. เกิดปรากฏการณ์ "พระอาทิตย์สองดวง" เนื่องจากบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ มายังโลก
จาก http://thaipx2012.blogspot.com/